FOMM One รถไฟฟ้าไซส์เล็ก
ขับง่ายสไตล์ชิว..ชิว ใช้งานในเมือง

LINE it!

     หลังจากเปิดตัว FOMM One รถไฟฟ้าขนาดเล็ก...ไปไม่นาน ทางค่ายฟอร์มมจากญี่่ปุ่น ได้เปิดโอกาสได้ขับทดสอบเจ้ารถไฟฟ้าคันจิ๋วแบบชิว...ชิว เพื่อเป็นการชิมลางให้รับรู้ถึงสมรรถนะของรถโดยรวมว่าสามารถใช้งานได้จริง และใช้ความเร็วไม่ได้มากนักไม่เกิน 80 กม./ชม. จึงเหมาะกับการขับใช้งานในเมืองด้วยสนนราคาค่าตัว 599,900 บาท ซึ่งถูกลงกว่าตอนเปิดตัวที่ตั้งราคาอยู่ที่ 664,000 บาท

     สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าขนาดเล็ก “FOMM One” ที่ได้มาเปิดตัวทำตลาดในประเทศไทยนั้น ได้ให้เหตุผลว่าเวลานี้ยังไม่คู่แข่งที่นำรถประเภทนี้มาขายสักเท่าไหร่  จึงถือโอกาสบุกตลาดอย่างเป็นทางการก่อนใครเพื่อให้เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง พร้อมทั้งเปิดราคาจำหน่ายไว้เทียบเท่ารถยนต์ระดับอีโคคาร์และ B-Segment แต่แตกต่างที่ขนาดของตัวรถกับขุมพลังขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ 



     FOMM One เป็นผลงานการพัฒนาจากทีมวิศวกรชาวญี่ปุ่นในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเคยได้ออกแบบรถไฟฟ้าให้กับทางค่ายโตโยต้าที่เวลานี้วิ่งใช้งานอยู่ในมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์  และในครั้งนี้ได้รวมตัวกันเปิดบริษัท เอฟโอเอ็มเอ็ม (เอเชีย) จำกัด พร้อมกับผลิตรถไฟฟ้ารุ่นนี้ขึ้นในประเทศไทย ด้วยเงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท ในโรงงานผลิตรถยนต์ขนาดเล็กเรียกว่า “Micro-Fab” ซึ่งมีชิ้นส่วนเพียง 1,600 ชิ้น เทียบกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในทั่วไปที่มีชิ้นส่วนกว่า 30,000 ชิ้น

     FOMM One เป็นรถยนต์ในกลุ่ม L7e ตามมาตรฐานยุโรป ซึ่งระบุว่าเป็นรถประเภทจักรยานยนต์ 4 ล้อขนาดเล็ก ที่ออกแบบให้รับน้ำหนักผู้โดยสารไม่เกิน 200 กิโลกรัม ซึ่งตัวอย่างรถยนต์ประเภทนี้ก็คือ Renault Twizy สัญชาติฝรั่งเศสที่วางจำหน่ายทั่วยุโรปนั่นเอง



     ในส่วนรูปทรงครั้งแรกที่เห็น FOMM One 2019 ตัวเป็นๆ ก็เห็นได้ชัดว่ารถคันนี้เป็นรถขนาดเล็กที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา โดยมีขนาดตัวถังที่มีความยาวตลอดคันเพียง 2,585 มม. ความกว้าง 1,295 มม. ความสูง 1,560 มม. และน้ำหนักตัวรถไม่รวมแบตเตอรี่เพียง 450 กิโลกรัมเท่านั้น



     รูปทรงดีไซน์ภายนอกได้รับการออกแบบให้เล็กกระทัดรัดมาพร้อมกับไฟหน้าทรงกลม,ไฟเลี้ยวด้านข้าง, ที่ปัดน้ำฝนแบบก้านเดียว, หัวฉีดน้ำล้างกระจก, กระจกมองข้าง   ขณะที่กระจกหลังสามารถเปิดยกขึ้นได้ โดยมีเหล็กค้ำถูกซ่อนเอาไว้หากต้องการเปิดค้าง มาพร้อมล้อขนาด 15 นิ้ว กับยางขนาด 145/65 R15 และไฟท้ายแบบ LED ทรงกลมที่มาพร้อมไฟเลี้ยวและไฟถอยหลัง



     สำหรับช่องชาร์จไฟจะถูกติดตั้งไว้ด้านหน้า โดยใช้ปลั๊กเสียบแบบ Type 2 ซึ่งสามารถหาชาร์จได้ทั่วไป โดยคันที่เราถ่ายภาพไว้นี้ ถูกเสียบเข้ากับปลั๊กไฟบ้านแบบ 2 รูธรรมดาๆ ทั่วไปเท่านั้น ซึ่ง FOMM ระบุว่าใช้เวลาชาร์จจนเต็ม (0-100%) อยู่ที่ 6 ชั่วโมง สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางสูงสุด 160 กิโลเมตร หากคิดเป็นค่าไฟจะตกอยู่ที่ 30 สตางค์ต่อกิโลเมตรเท่านั้น!


 
     สำหรับพลังมอเตอร์ขับเคลื่อนของ FOMM One เป็นแบบ In-wheel คือ ติดตั้งไว้กับชุดล้อคู่หน้าทั้งสองข้าง ให้กำลังสูงสุดรวมกันอยู่ที่ 10 กิโลวัตต์ หรือราว 13.5 แรงม้า (PS) กั้บแรงบิดสูงสุดมหาศาลถึง 560 นิวตัน-เมตร เรียกได้ว่าแรงกว่ากระบะเครื่องยนต์ดีเซลทุกรุ่นในตลาดขณะนี้กันเลย และรถคันนี้สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 80 กม./ชม. ซึ่งก็ถือว่าเร็วมากแล้วสำหรับรถไซส์จิ๋วแบบนี้



     ภายในห้องโดยสารมีจุดเด่นอยู่ที่พวงมาลัย ซึ่งออกแบบให้มีลักษณะคล้ายกับคันบังคับของเครื่องบิน ไม่ใช่พวงมาลัยกลมๆ ที่เราใช้กันอยู่ทั่วไป โดยแป้นหลังพวงมาลัยที่เห็นอยู่นั้น ไม่ใช่แป้นเปลี่ยนเกียร์แต่อย่างใดหรอกนะครับ แต่เป็นแป้นคันเร่ง! แถมยังมีให้ถึง 2 อันอีกด้วย

     ส่วนแป้นเหยียบด้านล่างเป็นแป้นเบรกเพียงอันเดียว  และบริเวณคอพวงมาลัยจะถูกติดตั้งก้านเปิด-ปิดไฟหน้าและไฟเลี้ยว ขณะที่ปุ่มควบคุมระบบปัดน้ำฝนถูกติดตั้งเวณแผงคอนโซลฝั่งผู้ขับ สามารถปรับได้ 2 ระดับ คือ ช้าและเร็ว และฟังก์ชั่นฉีดน้ำล้างกระจกเท่านั้น



     ส่วนสวิตช์ควบคุมตรงกลาง ประกอบด้วยปุ่มเกียร์ ซึ่งมีให้เลือก 3 ตำแหน่ง คือ D, N และ R ไม่มีตำแหน่งเกียร์ P แต่อย่างใด หากต้องการจอดรถไว้ก็เพียงปลดเกียร์ว่าง พร้อมกับดึงเบรกมือกันรถไหล... ง่ายๆ กันแบบนี้เลย และใกล้กันเป็นสวิตช์ไฟฉุกเฉิน และปุ่มควบคุมระบบปรับอากาศ ซึ่งทำได้เพียงปรับความแรงลมเท่านั้น ไม่สามารถปรับอุณหภูมิได้ และมีปุ่ม ODO สำหรับรีเซ็ตระยะทางมาให้

     ส่วนหน้าจอเหนือแผงคอนโซลนั้น ใช้สำหรับบอกความเร็ว, บอกตำแหน่งเกียร์, ปริมาณแบตเตอรี่ และสถานการณ์ทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าเท่านั้น  นอกจากนั้นในตัวรถยังมีช่องจ่ายไฟ 12 โวลต์สำหรับชาร์จอุปกรณ์กระจุกกระจิก, ช่องเก็บของเหนือแผงคอนโซล และกระจกไฟฟ้ามาให้ทั้ง 2 ข้าง



     ภายในห้องโดยสารเน้นความเรียบง่าย เบาะนั่งคู่หน้าหุ้มด้วยวัสดุผ้าสีดำ ฝั่งคนขับสามารถปรับเอนได้ ขณะที่เบาะนั่งด้านหลังเป็นแบบเรียบ พร้อมพนักพิงศีรษะ 2 ตำแหน่ง มีช่องวางของอเนกประสงค์มาให้ และที่สำคัญคือ มีเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดให้ครบทั้ง 4 ที่นั่ง

     ส่วนพื้นที่เบาะนั่งด้านหลังมีขนาดเล็ก ซึ่งนักข่าวที่เข้าไปนั่งทดสอบด้วยกันบอกว่าแค่พอนั่งได้เท่านั้น เพราะพนักพิงด้านหน้าชนหัวเข่าตลอดเวลา แต่กระนั้นก็ยังมีพื้นที่เหนือศีรษะเหลือๆ ซึ่งเป็นผลจากการออกแบบตัวถังให้มีลักษณะเป็นทรงกล่องนั่นเอง



     มาถึงช่วงของการทดสอบรถไฟฟ้า FOMM One ในครั้งนี้ ซึ่งทางทีมงานได้จัดให้ทดลองขับกันบนสนามโกคาร์ท ที่สนามมอเตอร์สปอร์ตแลนด์ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณแดนเนรมิตเก่านั่นเอง  ก่อนที่เราจะเริ่มออกตัวได้นั้น เราต้องกดปุ่ม D บริเวณแผงคอนโซลเสียก่อน จากนั้นเมื่อปล่อยแป้นเบรก รถจะเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างเอื่อยๆ การเพิ่มความเร็วสามารถทำได้โดยการบีบแป้นคันเร่งที่พวงมาลัย ยิ่งบีบแรงเท่าไหร่ รถก็จะเพิ่มความเร็วสูงขึ้นไปเท่านั้น แต่หากบีบพร้อมกันทั้งสองฝั่ง จะเป็นการเรียกกำลังสูงสุดออกมาใช้งาน ช่วยให้รถพุ่งไปข้างหน้าได้เร็วยิ่งขึ้น

     จุดแรกเรามาสัมผัสถึงวงเลี้ยวของ FOMM One ที่ระบุว่าแคบเพียง 1.8 เมตรเท่านั้น ซึ่งก็คงไม่แปลกอะไรเพราะเป็นรถที่มีฐานล้อสั้นมาก สามารถขับขี่ได้อย่างคล่องตัว ขณะที่พวงมาลัยสามารถหมุนได้ประมาณ 1 ใน 3 ของวงรอบก็สุดแล้ว หากใครเคยขับรถกอล์ฟมาก่อนอยู่แล้ว นั่นแหละครับ ความรู้สึกเดียวกันเลย



     แต่อย่างไรก็ตาม...การเลือกใช้แป้นคันเร่งแบบติดตั้งอยู่บนพวงมาลัย ทำให้การเลี้ยงความเร็วในขณะหมุนพวงมาลัยจนสุดทำได้ไม่สะดวกนัก ต้องคอยสลับแป้นเปลี่ยนประคองความเร็วอยู่เรื่อยๆ

     เลยจากจุดทดสอบวงเลี้ยว เรามาทดสอบการเข้าโค้งดูบ้าง ซึ่งการหมุนพวงมาลัยเพียงน้อยนิด ก็พอจะควบคุมทิศทางให้ไปตามที่ต้องการแล้ว ขณะที่ช่วงล่างแม้ว่าถูกเซ็ทมาเพื่อเน้นความนุ่ม แต่กระนั้น ด้วยความที่รถมีฐานล้อสั้นมาก ทำให้รถมีอาการเด้งทั้งคันเวลาที่พื้นสนามไม่เรียบ



     จากนั้น เราทดสอบอัตราเร่งกันต่อ โดยคราวนี้เราบีบแป้นคันเร่งทั้งสองข้างอย่างเต็มที่เพื่อเรียกกำลังสูงสุดออกมา ตัวรถสามารถออกตัวจากจุดหยุดนิ่งได้อย่างรวดเร็ว อันเป็นข้อดีของระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้แรงบิดสูง แต่กระนั้น เรี่ยวแรงก็ค่อยๆ หายไปตามความเร็วที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสนามทดสอบถูกเซ็ทระยะทางไว้เพียงสั้นๆ เราทำความเร็วสูงสุดได้ประมาณ 45 กม./ชม. ก็ต้องผ่อนคันเร่งแล้ว



     เนื่องจาก FOMM One ติดตั้งระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า เมื่อปล่อยคันเร่ง ก็จะชาร์จพลังงานกลับไปยังแบตเตอรี่ ทำให้ความเร็วลดลงอย่างรวดเร็วคล้ายกับอาการเอนจิ้นเบรก ซึ่งตลอดเส้นทางการทดสอบเราเหยียบเบรกเพียงเล็กน้อยเฉพาะเวลาที่ต้องการให้รถหยุดนิ่งเท่านั้นเอง ชวนให้นึกถึงแป้นคันเร่ง e-Pedal ของ Nissan Leaf ยังไงยังงั้น!



     นอกจากนี้ ใครที่เป็นกังวลเรื่องการลุยน้ำ ว่าจะมีไฟรั่วหรือไฟช็อตหรือไม่นั้น ทางฟอมม์ได้ทดสอบให้เราเห็นว่า หากรถคันนี้มีความจำเป็นต้องลุยน้ำลึกๆ ตัวรถจะสามารถลอยอยู่บนน้ำได้อย่างปลอดภัย โดยยังคงใช้งานมอเตอร์ขับเคลื่อนได้ตามปกติอีกด้วย



     แต่กระนั้น การทดสอบนี้ก็ชวนให้เราคิดว่าหากเผลอขับรถคันนี้ลุยน้ำกันจริงๆ FOMM One จะกลายเป็นรถคันเดียวที่ลอยแอ้งแม้งอยู่ในน้ำ ขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ ในขณะที่รถคันอื่นกำลังวิ่งฝ่ากระแสน้ำอย่างสบายใจเฉิบหรือไม่



     มาถึงตรงนี้ขอปิดท้ายจากการได้ทดสอบรถไฟฟ้า FOMM One ซึ่งจากการทดสอบระยะสั้นๆ คงบอกได้ว่า FOMM One เป็นรถพลังงานไฟฟ้าที่ให้ความประหยัด หลีกหนีจากน้ำมันที่มีราคาสูงและกำลังจะขาดแคลนในอนาคต แต่ถึงอย่างไร FOMM One ก็ยังไม่เหมาะสำหรับเป็นรถซิตี้คาร์เพื่อทดแทนการใช้งานในเมืองเท่าไหร่นัก นอกเสียจากว่าจะใช้ในระยะทางใกล้ๆ หรือใช้งานเฉพาะกิจ เช่น ขับภายในหมู่บ้าน, รีสอร์ท หรือภายในสถานที่ต่างๆ ซึ่งไม่ต้องการสร้างมลพิษจากไอเสีย

     สรุปโดยรวมแล้วรถไฟฟ้าคันจิ๋ว FOMM One ได้รับการออกแบบให้ทั้งด้านหน้าและด้านหลังดูหน้าตาดีใช้ได้  พร้อมกับภายในที่ดีไซน์เรียบง่ายดูเชย ๆ ไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่น่าจะออกแบบให้ทันสมัยกว่านี้  ซึ่งเหมาะที่จะเป็นพาหนะในการใช้งานระยะทางใกล้ ๆ  เพราะเป็นรถไฟฟ้าไร้มลพิษ มีระยะทางขับขี่เหลือเฟือ ไม่ต้องชาร์จกันบ่อยๆ และค่าบำรุงรักษาต่ำ แถมยังมีแอร์เย็นๆ ให้ชื่นใจตลอดทาง แต่ต้องแลกกับค่าตัว 5 แสนปลายๆ ก็ถือว่ายังแพงอยู่ดี แต่ถ้ากระเถิบราคาลงมาอยู่ที่ 5 แสนต้น ๆ น่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว 
 

คำค้น : รถไฟฟ้าขนาดเล็ก , FOMM One รถไฟฟ้าญี่ปุ่น , รถไฟฟ้าจากญี่ปุ่น , Fomm เปิดตลาดรถไฟฟ้า , รถไฟฟ้าขนาดเล็ก , ฟอร์มม วัน รถไฟฟ้าขนาดเล็ก , ทดสอบรถไฟฟ้า FOMM One , รีวิวรถไฟฟ้า fomm one , แนะนำรถไฟฟ้าฟอร์มม วัน , เปิดตัวรถไฟฟ้า fomm one , เผยโฉม fomm one รถไฟฟ้าไซส์เล็ก